ติดต่อเจ้าหน้าที่
เครื่องออกกำลังกาย อุปกรณ์ออกกําลังกาย อุปกรณ์ฟิตเนส
view-th view-en
ตะกร้า 0 ตะกร้าสินค้า

วิ่งให้เร็วขึ้นง่ายๆ ด้วยเทคนิคจากนักวิ่งมืออาชีพ

วิ่งให้เร็วขึ้นง่ายๆ ด้วยเทคนิคจากนักวิ่งมืออาชีพ

การวิ่งเร็วเป็นทักษะที่ต้องอาศัยการทำงานประสานกันระหว่างระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (Neuromuscular System) อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาความเร็วในการวิ่งนั้นต้องอาศัยทั้งความเข้าใจในหลักการทางสรีรวิทยาและการฝึกฝนอย่างเป็นระบบ

จากประสบการณ์ใน Real Gym ผมพบว่าทุกคนสามารถพัฒนาความเร็วในการวิ่งได้ หากมีความเข้าใจและใช้เทคนิควิ่งเร็วที่ถูกต้อง บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจหลักการพัฒนาความเร็วและเริ่มฝึกได้ทันที พร้อมวิธีวัดความก้าวหน้าที่ชัดเจน

ทำไมการวิ่งเร็วถึงสำคัญ?

การวิ่งเร็วไม่เพียงพัฒนาระบบหัวใจและหลอดเลือด แต่ยังกระตุ้นการสร้างไมโตคอนเดรีย (Mitochondria) ในเซลล์กล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตพลังงานสำคัญ การวิ่งที่ความเร็วสูงยังเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนการเติบโต (Growth Hormone) และเทสโทสเตอโรน ซึ่งช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อและเผาผลาญไขมัน

ในแง่ของการเผาผลาญพลังงาน การวิ่งเร็วช่วยเพิ่ม EPOC (Excess Post-exercise Oxygen Consumption) หรือที่เรียกว่า "Afterburn Effect" ทำให้ร่างกายเผาผลาญแคลอรี่ต่อเนื่องแม้หลังหยุดวิ่งแล้วหลายชั่วโมง

การเตรียมตัวก่อนเริ่มวิ่งเร็ว

วอร์มอัพ จุดเริ่มต้นของการวิ่งที่ปลอดภัย

การวอร์มอัพที่มีประสิทธิภาพต้องเริ่มจากการเพิ่มอุณหภูมิของกล้ามเนื้อแกนกลาง (Core Temperature) ก่อน การทำ Dynamic Stretching จะกระตุ้นตัวรับความรู้สึกในกล้ามเนื้อที่เรียกว่า Muscle Spindles และ Golgi Tendon Organs ช่วยปรับปรุงการทำงานประสานกันของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ

การวอร์มอัพควรใช้เวลา 10-15 นาที เริ่มจาก

  1. การเดินเร็ว 5 นาทีเพื่อเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจอย่างค่อยเป็นค่อยไป
  2. การทำ Dynamic Stretching ที่เน้นกล้ามเนื้อหลักสำหรับการวิ่ง เช่น Quadriceps, Hamstrings, Hip Flexors และ Calves
  3. การทำ Movement Preparation เช่น A-skips, B-skips เพื่อกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท

เลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสม

การเลือกรองเท้าวิ่งที่เหมาะสมต้องคำนึงถึง Gait Analysis หรือลักษณะการลงเท้าของแต่ละคน โดยแบ่งเป็น Neutral, Overpronation หรือ Supination ซึ่งส่งผลต่อการเลือก Cushioning และ Support ของรองเท้า ในด้านเสื้อผ้า ควรเลือกผ้าที่มีคุณสมบัติ Moisture Wicking ที่ช่วยระบายเหงื่อและความร้อนได้ดี เนื่องจากการระบายความร้อนที่ดีจะช่วยรักษาประสิทธิภาพการทำงานของกล้ามเนื้อ

 

เทคนิคการหายใจระหว่างวิ่งเร็ว

การฝึกวิ่งเร็วแบบ Interval เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการพัฒนาความเร็ว เพราะช่วยพัฒนาทั้งระบบพลังงานแบบใช้ออกซิเจน (Aerobic) และไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic)

โปรแกรมสำหรับเพิ่มความเร็ว

  • สัปดาห์ 1-2 วิ่งเร็ว 20 วินาที / พัก 40 วินาที x 8 รอบ
  • สัปดาห์ 3-4 วิ่งเร็ว 30 วินาที / พัก 30 วินาที x 10 รอบ
  • สัปดาห์ 5-6 วิ่งเร็ว 40 วินาที / พัก 20 วินาที x 12 รอบ

Tempo Run การสร้างความคงทน

Tempo Run ช่วยพัฒนาความเร็วระยะยาว โดยวิ่งที่ 80-85% ของความเร็วสูงสุด เป็นเวลา 20-30 นาที ช่วยให้ร่างกายชินกับการรักษาความเร็วได้นานขึ้น

Hill Training วิ่งขึ้นเนินเพื่อเสริมพลังขา

การวิ่งขึ้นเนินเป็นการฝึกที่เพิ่มแรงต้านทานธรรมชาติ ช่วยพัฒนากำลังของกล้ามเนื้อขาโดยเฉพาะ Quadriceps, Calves และ Glutes การฝึกบนเนินยังช่วยพัฒนา Power-to-Weight Ratio ซึ่งสำคัญต่อการวิ่งเร็ว โดยควรเริ่มจากเนินที่มีความชัน 4-6% และค่อยๆ เพิ่มระดับความชันตามความแข็งแรงที่เพิ่มขึ้น

 

เคล็ดลับเพิ่มความเร็วในการวิ่ง

1.ปรับท่าวิ่งให้เหมาะสม

ท่าวิ่งที่ถูกต้องเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาความเร็ว

  • การวางตำแหน่งศีรษะ มองตรงไปข้างหน้า 10-15 เมตร เพื่อรักษาแนวกระดูกสันหลังให้ตรง
  • การแกว่งแขน แกว่งในแนวตั้งฉากกับลำตัว มุม 90 องศาที่ข้อศอก ช่วยรักษาสมดุลและเพิ่มแรงส่ง
  • การลงเท้า ลงที่ส่วนกลางเท้าหรือปลายเท้า หลีกเลี่ยงการลงส้นเท้าเพื่อลดแรงกระแทก

2.เพิ่มความเร็วด้วยการปรับจังหวะการก้าว

การพัฒนา Stride Length และ Cadence ต้องคำนึงถึงสมดุลระหว่างสองปัจจัยนี้

  • Cadence ความถี่ในการก้าวที่เหมาะสมคือ 170-180 ก้าวต่อนาที
  • Stride Length ระยะก้าวที่เหมาะสมควรอยู่ที่ประมาณ 1.3-1.4 เท่าของความสูง

 

โปรแกรมการวิ่งเร็วใน 1 เดือน

1.สัปดาห์ที่ 1-2 ฝึก Interval Training

  • วันที่ 1 และ 4 Interval 30 วินาที วิ่งเร็ว / 1 นาทีวิ่งเบา x 6-8 รอบ
  • วันที่ 2 และ 5 วิ่งเบาๆ 20-30 นาที เน้นการหายใจและท่าวิ่ง
  • วันที่ 3 พัก เน้นการยืดกล้ามเนื้อและการฟื้นตัว

2.สัปดาห์ที่ 3 เพิ่ม Tempo Run และ Cadence Drill

  • วันที่ 1 Interval เพิ่มเป็น 45 วินาที วิ่งเร็ว / 1 นาทีวิ่งเบา
  • วันที่ 2 Tempo Run 20 นาที ที่ 75-80% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด
  • วันที่ 4 Cadence Drill เน้นการเพิ่มความถี่ก้าวเป็น 170-180 ก้าวต่อนาที
  • วันที่ 3, 5, 6, 7 สลับระหว่างวิ่งเบาและพัก

3.สัปดาห์ที่ 4 รวมเทคนิคทั้งหมด

  • วันที่ 1 Interval 1 นาที วิ่งเร็ว / 1 นาทีวิ่งเบา
  • วันที่ 2 Hill Training 6-8 รอบ
  • วันที่ 4 Tempo Run 30 นาที
  • วันที่ 5 Speed Play (Fartlek) ผสมผสานความเร็วหลายระดับ
  • วันที่ 3, 6, 7 พักฟื้นฟูร่างกาย

อ่านบทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับรวมสุดยอด 5 เทคนิคการวิ่ง สู่การเข้าร่วมมาราธอน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการวิ่งเร็ว

1.วิ่งเท้าลงส่วนไหนถึงจะช่วยเพิ่มความเร็ว?

ลงที่ส่วนหน้า-กลางเท้า ช่วยให้แรงส่งดีกว่าการลงส้น และลดแรงกระแทก

2.ควรวิ่งกี่ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อพัฒนาความเร็ว?

3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ แบ่งเป็นวิ่งเร็ว 2 ครั้ง และวิ่งเบา 1-2 ครั้ง

3.วิธีวัดความก้าวหน้าที่แม่นยำทำอย่างไร?

จับเวลาวิ่ง 100 เมตรทุก 2 สัปดาห์ ในสภาพแวดล้อมและเวลาเดียวกัน

4.จะรู้ได้อย่างไรว่าวิ่งหนักเกินไป?

หากฟื้นตัวนานกว่า 48 ชั่วโมง หรือมีอาการปวดข้อต่อ แสดงว่าควรลดความหนัก

5.อาหารแบบไหนช่วยเพิ่มความเร็ว?

เน้นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน โปรตีนคุณภาพสูง ทานก่อนวิ่ง 2-3 ชั่วโมง

6.ทำไมบางคนวิ่งนานแล้วความเร็วไม่พัฒนา?

มักเกิดจากการไม่มีโปรแกรมฝึกที่ชัดเจน หรือวิ่งด้วยความเร็วระดับเดิมตลอด

7.ควรเริ่มวัดผลหลังฝึกกี่สัปดาห์?

เริ่มเห็นพัฒนาการชัดเจนหลัง 4-6 สัปดาห์ แต่ควรวัดผลตั้งแต่สัปดาห์แรก

8.Hill Training ช่วยเพิ่มความเร็วได้จริงหรือไม่?

ช่วยได้มาก เพราะเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา ส่งผลโดยตรงต่อความเร็ว

9.ควรใช้รองเท้าวิ่งแบบไหนสำหรับวิ่งเร็ว?

รองเท้าน้ำหนักเบา ยืดหยุ่นดี รองรับแรงกระแทก Drop 4-8 มม.

10.อายุมีผลต่อการพัฒนาความเร็วหรือไม่?

มีผล แต่สามารถพัฒนาได้ทุกวัย ต้องปรับโปรแกรมให้เหมาะกับช่วงอายุ

บทสรุป

การวิ่งเร็วเป็นทักษะที่พัฒนาได้ด้วยการฝึกฝนอย่างเป็นระบบ ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับการฝึกหนักเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความเข้าใจในหลักการทางวิทยาศาสตร์การกีฬา การพักฟื้นที่เพียงพอ และความสม่ำเสมอในการฝึกซ้อม จากประสบการณ์ในการดูแลนักวิ่ง สิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้จักฟังร่างกายตัวเองและค่อยๆ พัฒนาขึ้นอย่างมีขั้นตอน

การนำโปรแกรมนี้ไปใช้ ควรปรับให้เหมาะกับระดับความแข็งแรงและเป้าหมายของแต่ละบุคคล หากรู้สึกเหนื่อยเกินไปหรือมีอาการบาดเจ็บ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญและปรับแผนการฝึกให้เหมาะสม

 


บทความนี้เขียนโดย...


โค้ชปูแน่น

โค้ชปูแน่น (ปู จักรินทร์ บุญลาภ)


เป็น CEO และที่ปรึกษาด้านการพัฒนาทีมเทรนเนอร์ในฟิตเนสของตัวเองที่ Real Gym ซาฟารีเวิลด์ รวมถึงแบรนด์อาหารเสริม และที่ปรึกษาด้าน Training Quality ให้กับทีมเทรนเนอร์ของ Sport club และฟิตเนสชั้นนำ

โปรไฟล์โค้ชปูแน่น

บทความทั้งหมด