Hip Thrust VS Squat เปรียบเทียบท่าฝึกสุดฮิตเพื่อสะโพกแกร่ง
การพัฒนากล้ามเนื้อสะโพกและขาเป็นองค์ประกอบสำคัญของโปรแกรมการออกกำลังกายที่สมดุล กล้ามเนื้อส่วนล่างที่แข็งแรงไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงท่าทางและการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมทางกายและกีฬาต่างๆ ท่าออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการพัฒนากล้ามเนื้อสะโพกและขาคือ Hip Thrust และ Squat ซึ่งทั้งสองท่านี้มีจุดเด่นและประสิทธิภาพที่แตกต่างกัน
สารบัญเนื้อหา
ทำความรู้จักกับ Hip Thrust
Hip Thrust เป็นท่าออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ต้องการพัฒนากล้ามเนื้อสะโพก ท่านี้ถูกคิดค้นและเผยแพร่โดย Bret Contreras นักวิทยาศาสตร์การกีฬาชาวอเมริกัน ในช่วงต้นทศวรรษ 2010
Hip Thrust ได้รับการพัฒนาขึ้นจากความต้องการในการหาท่าออกกำลังกายที่เน้นการทำงานของกล้ามเนื้อสะโพก (gluteus maximus) อย่างมีประสิทธิภาพ Contreras พบว่าการเคลื่อนไหวในลักษณะนี้สามารถกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อสะโพกได้มากกว่าท่าดั้งเดิมอย่าง Squat หรือ Deadlift
เทคนิคการทำ Hip Thrust ที่ถูกต้อง
- นั่งบนพื้น หลังพิงม้านั่งหรือเบาะ
- วางบาร์เบลหรือน้ำหนักบนตัก (อาจใช้แผ่นรองเพื่อความสบาย)
- งอเข่าและวางเท้าราบกับพื้น ห่างจากสะโพกประมาณ 1 ฟุต
- ยกสะโพกขึ้น โดยใช้แรงจากกล้ามเนื้อก้นและต้นขา
- ยกจนลำตัวและต้นขาอยู่ในแนวเดียวกัน เป็นเส้นตรงจากเข่าถึงไหล่
- บีบกล้ามเนื้อก้นค้างไว้สักครู่ที่จุดสูงสุด
- ค่อยๆ ลดสะโพกลงสู่ตำแหน่งเริ่มต้น ควบคุมการเคลื่อนไหวตลอดเวลา
ทำความรู้จักกับ Squat
Squat เป็นท่าออกกำลังกายพื้นฐานที่มีประวัติยาวนานและได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในท่าที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการพัฒนาความแข็งแรงของร่างกายส่วนล่าง
Squat มีรากฐานมาจากการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของมนุษย์ และได้ถูกนำมาใช้ในการฝึกความแข็งแรงมาเป็นเวลานาน ในวงการยกน้ำหนัก Squat ถือเป็นหนึ่งในท่าหลักที่ใช้ในการแข่งขัน และเป็นท่าที่นิยมใช้ในโปรแกรมการฝึกของนักกีฬาหลากหลายประเภท
เทคนิคการทำ Squat ที่ถูกต้อง
- ยืนตรง เท้าห่างกันประมาณความกว้างของไหล่หรือกว้างกว่าเล็กน้อย
- วางบาร์เบลบนไหล่ด้านหลัง (Back Squat) หรือด้านหน้า (Front Squat)
- ย่อตัวลงโดยงอเข่าและสะโพก เสมือนกำลังนั่งลงบนเก้าอี้
- รักษาหลังให้ตรง หน้าอกเชิดขึ้น
- ลดตัวลงจนต้นขาขนานกับพื้นหรือต่ำกว่า (ขึ้นอยู่กับความยืดหยุ่นและเป้าหมายการฝึก)
- ดันตัวขึ้นกลับสู่ท่าเริ่มต้น โดยใช้แรงจากกล้ามเนื้อขาและสะโพก
การเปรียบเทียบกลุ่มกล้ามเนื้อที่ทำงานใน Hip Thrust และ Squat
แม้ว่าทั้ง Hip Thrust และ Squat จะเป็นท่าที่ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อส่วนล่างของร่างกาย แต่มีความแตกต่างในแง่ของกลุ่มกล้ามเนื้อที่ทำงานหลัก
กล้ามเนื้อหลักที่ทำงานใน Hip Thrust
- Gluteus Maximus (กล้ามเนื้อสะโพกใหญ่)
- Hamstrings (กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง)
- Quadriceps (กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า) ในระดับที่น้อยกว่า
- Lower Back (กล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง) ในการรักษาเสถียรภาพ
กล้ามเนื้อหลักที่ทำงานใน Squat
- Quadriceps (กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า)
- Gluteus Maximus (กล้ามเนื้อสะโพกใหญ่)
- Hamstrings (กล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง)
- Core Muscles (กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว)
- Calves (กล้ามเนื้อน่อง)
ความแตกต่างในการกระตุ้นกล้ามเนื้อ
Hip Thrust เน้นการทำงานของกล้ามเนื้อสะโพก (Gluteus Maximus) มากกว่า Squat โดยการวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า Hip Thrust สามารถกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อสะโพกได้มากกว่า Squat ถึง 20-30% ในขณะที่ Squat จะเน้นการทำงานของกล้ามเนื้อ Quadriceps มากกว่า และมีการทำงานของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวที่มากกว่า
ประสิทธิภาพในการสร้างความแข็งแรงและขนาดกล้ามเนื้อ
การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของ Hip Thrust และ Squat ในการสร้างความแข็งแรงและขนาดกล้ามเนื้อเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจในวงการวิทยาศาสตร์การกีฬา
ผลการวิจัยเปรียบเทียบ Hip Thrust และ Squat
งานวิจัยหลายชิ้นได้เปรียบเทียบผลของการฝึก Hip Thrust และ Squat ต่อการพัฒนากล้ามเนื้อและความแข็งแรง ผลการศึกษาส่วนใหญ่พบว่า:
- Hip Thrust มีประสิทธิภาพสูงกว่าในการเพิ่มขนาดและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสะโพก
- Squat มีประสิทธิภาพสูงกว่าในการพัฒนาความแข็งแรงโดยรวมของขาและการกระโดดในแนวดิ่ง
- ทั้งสองท่ามีผลดีต่อการพัฒนาความเร็วในการวิ่งระยะสั้น แต่ Hip Thrust อาจมีข้อได้เปรียบเล็กน้อยในการพัฒนาความเร่งในช่วงเริ่มต้น
ข้อดีของแต่ละท่าในการพัฒนากล้ามเนื้อ
Hip Thrust:
- เน้นการพัฒนากล้ามเนื้อสะโพกโดยเฉพาะ
- เหมาะสำหรับการเพิ่มขนาดและรูปร่างของสะโพก
- ช่วยปรับปรุงการทำงานของกล้ามเนื้อสะโพกในการเคลื่อนไหวแนวราบ เช่น การวิ่ง
Squat:
- พัฒนากล้ามเนื้อขาและสะโพกอย่างครอบคลุม
- เสริมสร้างความแข็งแรงของแกนกลางลำตัว
- ปรับปรุงการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อหลายมัด
การใช้ Hip Thrust และ Squat ในโปรแกรมฝึก
การผสมผสาน Hip Thrust และ Squat ในโปรแกรมการฝึกสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการพัฒนากล้ามเนื้อส่วนล่างของร่างกาย
การผสมผสานทั้งสองท่าในโปรแกรม
- แบ่งวันฝึก: ทำ Squat ในวันฝึกขา และทำ Hip Thrust ในวันฝึกสะโพกหรือวันฝึกหลัง
- ทำในวันเดียวกัน: เริ่มด้วย Squat เป็นท่าหลัก ตามด้วย Hip Thrust เพื่อเน้นกล้ามเนื้อสะโพกเพิ่มเติม
- สลับสัปดาห์: ทำ Squat เป็นท่าหลักในสัปดาห์แรก และ Hip Thrust เป็นท่าหลักในสัปดาห์ถัดไป
ตัวอย่างโปรแกรมฝึกที่ใช้ทั้ง Hip Thrust และ Squat
วันที่ 1 (เน้นขา):
- Squat: 4 เซ็ต x 6-8 ครั้ง
- Leg Press: 3 เซ็ต x 10-12 ครั้ง
- Hip Thrust: 3 เซ็ต x 10-12 ครั้ง
- Leg Curl: 3 เซ็ต x 12-15 ครั้ง
วันที่ 4 (เน้นสะโพก):
- Hip Thrust: 4 เซ็ต x 8-10 ครั้ง
- Romanian Deadlift: 3 เซ็ต x 10-12 ครั้ง
- Goblet Squat: 3 เซ็ต x 12-15 ครั้ง
- Glute Bridge: 3 เซ็ต x 15-20 ครั้ง
การผสมผสานทั้งสองท่าในโปรแกรมช่วยให้ได้รับประโยชน์จากทั้ง Hip Thrust และ Squat อย่างเต็มที่ โดยการทำ Squat ช่วยพัฒนาความแข็งแรงโดยรวมของขาและแกนกลางลำตัว ในขณะที่ Hip Thrust ช่วยเน้นการพัฒนากล้ามเนื้อสะโพกโดยเฉพาะ
ข้อควรระวังและความปลอดภัยในการฝึก
แม้ว่า Hip Thrust และ Squat จะเป็นท่าที่มีประสิทธิภาพสูง แต่ก็มีความเสี่ยงหากทำไม่ถูกวิธี การระมัดระวังและปฏิบัติตามหลักความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ข้อควรระวังสำหรับการทำ Hip Thrust
- รักษาตำแหน่งของหลังให้เป็นธรรมชาติ ไม่แอ่นหรือโก่งมากเกินไป
- ควบคุมการเคลื่อนไหวตลอดช่วงการยกและลด ไม่ใช้แรงเหวี่ยง
- เริ่มต้นด้วยน้ำหนักเบาและค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อทำท่าได้ถูกต้อง
- ใช้แผ่นรองหรือ Hip Thrust Pad เพื่อลดแรงกดทับบริเวณสะโพก
- หากรู้สึกไม่สบายที่หลังส่วนล่าง ให้หยุดทำทันทีและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
ข้อควรระวังสำหรับการทำ Squat
- รักษาหลังให้ตรง ไม่โค้งงอขณะย่อตัวลง
- ให้เข่าอยู่ในแนวเดียวกับนิ้วเท้า ไม่บิดเข้าด้านใน
- ย่อตัวลงเท่าที่สามารถทำได้โดยไม่เสียสมดุล ไม่จำเป็นต้องย่อลงลึกมากเกินไปหากยังไม่พร้อม
- หายใจอย่างถูกวิธี โดยหายใจเข้าขณะย่อตัวลง และหายใจออกขณะยืนขึ้น
- ใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น Power Rack หรือ Squat Rack เพื่อความปลอดภัยเมื่อใช้น้ำหนักมาก
ทั้ง Hip Thrust และ Squat เป็นท่าที่ต้องอาศัยเทคนิคที่ถูกต้อง การเริ่มต้นด้วยการฝึกท่าทางโดยไม่ใช้น้ำหนักหรือใช้น้ำหนักเบาๆ ก่อน จะช่วยให้สามารถพัฒนาฟอร์มที่ถูกต้องและลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บได้
สรุป
Hip Thrust และ Squat เป็นท่าออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพสูงในการพัฒนากล้ามเนื้อส่วนล่างของร่างกาย แต่ละท่ามีจุดเด่นและข้อดีเฉพาะตัว
- Hip Thrust เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเน้นพัฒนากล้ามเนื้อสะโพกโดยเฉพาะ เพิ่มขนาดและรูปร่างของสะโพก และปรับปรุงการทำงานของกล้ามเนื้อสะโพกในการเคลื่อนไหวแนวราบ
- Squat เหมาะสำหรับการพัฒนาความแข็งแรงโดยรวมของขาและแกนกลางลำตัว เสริมสร้างการทำงานประสานกันของกล้ามเนื้อหลายมัด และปรับปรุงการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน
การผสมผสานทั้งสองท่าในโปรแกรมการฝึกจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยอาจใช้ Squat เป็นท่าหลักในการสร้างความแข็งแรงพื้นฐาน และใช้ Hip Thrust เป็นท่าเสริมเพื่อเน้นการพัฒนากล้ามเนื้อสะโพกเพิ่มเติม สำหรับผู้เริ่มต้น การเริ่มด้วย Bodyweight Squat และ Glute Bridge (ท่าพื้นฐานของ Hip Thrust) เพื่อฝึกฟอร์มที่ถูกต้องก่อน จากนั้นค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักและความซับซ้อนของท่า จะช่วยให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการฝึกอย่างปลอดภัย
ไม่ว่าจะเลือกท่าใด สิ่งสำคัญที่สุดคือการรักษาฟอร์มที่ถูกต้อง การเพิ่มน้ำหนักอย่างเหมาะสม และการฝึกอย่างสม่ำเสมอ การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากการฝึก Hip Thrust และ Squat นำไปสู่การพัฒนากล้ามเนื้อสะโพกและขาที่แข็งแรง สวยงาม และมีประสิทธิภาพ
อ้างอิงภาพจาก:
- https://uppper.com/blogs/news/hip-thrust-vs-glute-bridge-whats-the-difference
- https://www.vitonica.com/entrenamiento/hip-thrust-cinco-errores-comunes-que-cometemos-como-solucionarlos
Powered by Mirasvit Magento 2 Extensions
- ฟังโค้ชตัวจริงว่าออกกำลังกายตอนเช้าดีอย่างไร ทำไมต้องเริ่มต้นวันด้วยการออกกำลังกาย
- วิธีเล่นท่า Dumbbell Bench Press พร้อมวิดีโอสาธิต อัปเดต 2025 - โค้ชออตโต้
- วิธีเล่นท่า Dumbbell Fly พร้อมวิดีโอสาธิต อัปเดต 2025 - โค้ชออตโต้
- วิธีเล่นท่า Standing Dumbbell Biceps Curls พร้อมวิดีโอสาธิต อัปเดต 2025 - โค้ชออตโต้
- หน้าท้องแบนราบ ด้วยการออกกำลังกาย Pilates 15 นาทีต่อวัน