วิธีออกกำลังกายฉบับโค้ชแชมป์! พร้อมโปรแกรมเห็นผลจริง !
สวัสดีครับ โค้ชปูแน่นเองนะครับ ในฐานะที่ผมดูแล Real Gym ซาฟารีเวิลด์และเป็น ACE Certified Personal Trainer วันนี้ผมจะมาแชร์ความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการออกกำลังกายครับ
สารบัญเนื้อหา
การออกกำลังกายคืออะไร และ เพื่ออะไร?
การออกกำลังกาย คือ การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างมีแบบแผนและเป้าหมาย เพื่อพัฒนาสมรรถภาพทางกายและสุขภาพโดยรวม ที่ยิมของผม ผมเห็นสมาชิกหลายคนเข้าใจผิดว่าการออกกำลังกายคือแค่การวิ่งหรือยกเวทเท่านั้น
ผมพบว่าการออกกำลังกายที่ได้ผลดีต้องพัฒนา 3 ด้านหลัก คือ
- ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
- ความอดทนของระบบหัวใจและหลอดเลือด
- ความยืดหยุ่นของร่างกาย
ผมได้อ่านงานวิจัยจาก Harvard Medical School ปี 2023 พบว่า การออกกำลังกายที่ครบทั้ง 3 ด้านช่วยลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยได้มากกว่าการออกกำลังกายเพียงด้านเดียว
ที่ยิมของผม มีสมาชิกท่านหนึ่งเป็นพนักงานออฟฟิศ เริ่มมาออกกำลังกายด้วยปัญหาออฟฟิศซินโดรม ทั้งปวดหลัง ปวดไหล่ หลังจากผมแนะนำให้ออกกำลังกายครบทั้ง 3 ด้าน เขาบอกว่าอาการปวดดีขึ้นมาก และทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้น
[Video: การสาธิตการออกกำลังกายพื้นฐานทั้ง 3 ด้าน ]
Tips "ผมสังเกตเห็นว่าสมาชิกที่เพิ่งเริ่มต้นมักจะหักโหมเกินไป แล้วท้อ ผมจึงแนะนำให้เริ่มจากการเดินเร็ว 15-20 นาที แล้วค่อยๆ เพิ่มความหนักขึ้น วิธีนี้ทำให้สมาชิกหลายคนออกกำลังกายได้ต่อเนื่องครับ" |
ประเภทการออกกำลังกายมีอะไรบ้าง
1. การออกกำลังกายแบบแอโรบิก (Cardio)
คำว่า "แอโรบิก" มาจากคำว่า "aerobic" ซึ่งหมายถึงกระบวนการที่ร่างกายใช้ออกซิเจนในการสร้างพลังงาน ในยิมของผม ผมมักอธิบายให้สมาชิกเข้าใจว่า เมื่อเราออกกำลังกายแบบแอโรบิก หัวใจของเราจะสูบฉีดเลือดเร็วขึ้น เพื่อส่งออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อที่กำลังทำงาน
1.1 กลไกการทำงานของร่างกาย
จากงานวิจัยของ American Heart Association ปี 2023 ที่ศึกษาผู้ออกกำลังกายแบบแอโรบิก 2,000 คน พบว่าระหว่างการออกกำลังกาย
- หัวใจสูบฉีดเลือดเพิ่มขึ้น 3-4 เท่า
- ปอดรับออกซิเจนเพิ่มขึ้น 15-20 เท่า
- ร่างกายเผาผลาญไขมันเพิ่มขึ้น 5-7 เท่า
ผมเห็นสมาชิกในยิมที่ทำ cardio อย่างถูกวิธีจะได้ประโยชน์ดังนี้
- ระบบหัวใจและปอดแข็งแรงขึ้น
- เผาผลาญไขมันได้ดี
- ความดันโลหิตและคอเลสเตอรอลลดลง
1.2 การเลือกความหนักในการออกกำลัง
ที่ยิมผมใช้หลัก Talk Test ง่ายๆ คือ
- ถ้าคุยได้ปกติ = เบาเกินไป
- ถ้าคุยได้แต่หอบนิดหน่อย = กำลังดี
- ถ้าคุยไม่ได้เลย = หนักเกินไป"
1.2 เทคนิคการวิ่งบนลู่แบบละเอียด
- การวอร์มอัพ (10 นาทีแรก)
- 3 นาทีแรก: เดินเร็ว 4-5 กม./ชม.
- 4-7 นาที: เพิ่มความเร็วเป็น 5-6 กม./ชม.
- 7-10 นาที: เริ่มวิ่งเหยาะๆ 7-8 กม./ชม.
- การวางเท้าที่ถูกต้อง
- ลงน้ำหนักที่ส้นเท้า
- กลิ้งเท้าไปที่ปลายเท้า
- ดันตัวด้วยปลายเท้า
- ท่าทางการวิ่ง
- หลังตรง ไม่เอนไปด้านหน้าหรือหลังมากเกินไป
- แกว่งแขนเป็นจังหวะ
- มองตรงไปข้างหน้า ไม่ก้มหน้ามากเกินไป
1.3 เทคนิคการปั่นจักรยานแบบละเอียด
- การตั้งค่าจักรยาน
- ความสูงเบาะ: สะโพกขนานกับพื้น
- ระยะแฮนด์: เอื้อมถึงแบบสบายๆ ไม่เกร็ง
- ตำแหน่งเท้า: วางกลางฝ่าเท้าบนบันได
- โปรแกรมปั่นสำหรับผู้เริ่มต้น
- 5 นาทีแรก: ระดับ 3-4 ความเร็วปานกลาง
- 10-20 นาที: สลับระดับ 5-7 ทุก 2 นาที
- 5 นาทีสุดท้าย: ระดับ 3-4 เพื่อคูลดาวน์
Tips จากประสบการณ์ "ผมเคยดูแลสมาชิกที่มีปัญหาเข่า เราแก้ปัญหาโดยปรับความสูงเบาะให้สูงขึ้นอีกนิด และเน้นการปั่นที่เบาแต่เร็ว แทนการใช้แรงต้านมาก" |
ดูสินค้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Cardio ได้ที่นี่
2. การออกกำลังกายแบบ Weight Training - ความเชี่ยวชาญของโค้ชปูแน่น
ในฐานะแชมป์ Physique และเทรนเนอร์ที่ดูแล Real Gym ผมต้องบอกว่า Weight Training คือพื้นฐานสำคัญของการสร้างร่างกายที่แข็งแรง จากประสบการณ์กว่า 10 ปี ผมได้พัฒนาระบบการฝึกที่ผสมผสานความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การกีฬาและประสบการณ์จริง
Weight Training คืออะไร?
การฝึกด้วยน้ำหนัก คือการใช้แรงต้านในรูปแบบต่างๆ เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อ จากงานวิจัยใน Journal of Strength and Conditioning Research ปี 2023 พบว่าการฝึกด้วยน้ำหนักอย่างถูกวิธีช่วยเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ 3-9% ภายใน 12 สัปดาห์
ทำไมผมถึงเชี่ยวชาญเรื่องนี้
ผมเริ่มยกเวทตั้งแต่อายุ 18 ปี ผ่านการแข่งขันมาหลายเวที สิ่งที่ผมค้นพบคือ การยกน้ำหนักไม่ใช่แค่การยกให้หนัก แต่ต้องยกให้ถูก ที่ Real Gym ผมเห็นสมาชิกหลายคนมีพัฒนาการที่ดีขึ้นหลังจากปรับเทคนิคการยก
โปรแกรม Weight Training สไตล์โค้ชปูแน่น
ผมแบ่งการฝึกเป็น 3 ระดับ
1. ระดับเริ่มต้น (Foundation)
สำหรับผู้เริ่มต้น เราต้องสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงก่อน
โปรแกรม 3 วันต่อสัปดาห์
- วันที่ 1 ช่วงบน
- Dumbbell Bench Press: 3x12
- Assisted Pull-up: 3x10
- Shoulder Press: 3x12
- วันที่ 2 ช่วงล่าง
- Bodyweight Squat: 3x15
- Romanian Deadlift: 3x12
- Calf Raises: 3x15
- วันที่ 3 ทั้งตัว
- Push-ups: 3x10
- Inverted Rows: 3x12
- Lunges: 3x10/ข้าง
Tips จากประสบการณ์ "ที่ยิมผม มีสมาชิกใหม่ท่านหนึ่งไม่เคยยกน้ำหนักมาก่อน พอใช้โปรแกรมนี้ 2 เดือน เขาสามารถทำท่าพื้นฐานได้อย่างสวยงาม" |
2. ระดับกลาง (Development)
ระดับนี้เราจะเพิ่มความซับซ้อนและความหนัก
โปรแกรม 4 วันต่อสัปดาห์
- วันที่ 1: อก/ไหล่
- Barbell Bench Press: 4x8-10
- Incline DB Press: 4x10-12
- Military Press: 4x8-10
- วันที่ 2: หลัง/ไบเซ็ปส์
- Bent Over Rows: 4x8-10
- Weighted Pull-ups: 4x6-8
- Barbell Curls: 4x10-12
เคล็ดลับพิเศษ "ผมสอนสมาชิกให้ใช้กระจกดูฟอร์มตัวเอง และถ่ายวิดีโอไว้เปรียบเทียบ ทำให้เห็นจุดที่ต้องปรับปรุง" |
3. ระดับสูง (Advanced)
ระดับนี้เราจะใช้เทคนิคพิเศษเพิ่มความท้าทาย
เทคนิคที่ผมใช้
- Drop Sets
- Super Sets
- Time Under Tension
- Progressive Overload
หลักสำคัญในการฝึก Weight Training
- การหายใจ
- หายใจเข้าตอนลดน้ำหนัก
- หายใจออกตอนยกน้ำหนัก
- จังหวะการยก
- ยกขึ้น: 1 วินาที
- ค้าง: 1 วินาที
- ลดลง: 2 วินาที
- การพัก
- เซตปกติ: 60-90 วินาที
- เซตหนัก: 2-3 นาที
Tips "Weight Training ไม่ใช่แค่การสร้างกล้ามเนื้อ แต่เป็นการสร้างวินัยและความแข็งแรงที่ยั่งยืน ผมเห็นสมาชิกหลายคนที่ยิมเปลี่ยนจากคนที่ไม่เคยยกน้ำหนัก กลายเป็นคนที่แข็งแรงและมั่นใจ" |
ดูสินค้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Weight Training ได้ที่นี่
3. การออกกำลังกายแบบ Functional Training - สไตล์โค้ชปูแน่น
ในฐานะที่ผมได้รับรางวัลชนะเลิศ Physique หลายรายการ และเป็น ACE Certified Trainer ผมต้องบอกว่า Functional Training คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จ ที่ Real Gym ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงของสมาชิกมากมายที่เปลี่ยนจากการออกกำลังกายแบบทั่วไป มาเป็นการฝึกแบบ Functional
Functional Training คืออะไร?
การออกกำลังกายแบบ Functional Training คือการฝึกที่เลียนแบบการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน เช่น การยกของ การก้ม การเอี้ยวตัว การทรงตัว จากงานวิจัยในวารสาร Sports Medicine ปี 2023 ที่ศึกษาในผู้ฝึก 1,500 คน พบว่าการฝึกแบบ Functional ช่วยลดอาการบาดเจ็บในชีวิตประจำวันได้ถึง 60%
ทำไมผมถึงเชี่ยวชาญด้านนี้
"ผมเริ่มสนใจ Functional Training จริงจังตอนแข่ง International Muscle and Physique Championship ครับ ตอนนั้นผมพบว่าการมีกล้ามใหญ่อย่างเดียวไม่พอ ต้องมีการเคลื่อนไหวที่สวยงาม มีความยืดหยุ่น และการทรงตัวที่ดีด้วย พอนำมาใช้กับสมาชิกที่ยิม ผลตอบรับดีมาก"
โปรแกรม Functional Training สไตล์โค้ชปูแน่น
ผมแบ่งการฝึกเป็น 3 ระดับ
1. ระดับเริ่มต้น (Foundation)
สำหรับคนที่เพิ่งเริ่ม ผมจะเน้นการสร้างพื้นฐานที่ดีก่อน
- Bear Crawl: ฝึกการประสานงาน
- Wall Slide: ปรับท่าทางไหล่
- Hip Hinge: ฝึกการก้มที่ถูกวิธี
เคล็ดลับจากประสบการณ์ "มีสมาชิกท่านหนึ่งทำงานออฟฟิศ มาเริ่มต้นด้วยท่าพื้นฐานพวกนี้ อาการปวดหลังที่เป็นมา 2 ปีดีขึ้นใน 2 เดือน" |
2. ระดับกลาง (Development)
ระดับนี้เราจะเพิ่มความท้าทายขึ้น
- Kettlebell Flow: ฝึกการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง
- TRX Complex: ฝึกความแข็งแรงแบบรอบด้าน
- Medicine Ball Slam: ฝึกการใช้แรงระเบิด
Tips พิเศษ "ผมชอบให้สมาชิกทำท่า Kettlebell Flow มาก เพราะช่วยพัฒนาทั้งความแข็งแรงและการทรงตัวในเวลาเดียวกัน" |
3. ระดับสูง (Mastery)
ระดับนี้เราจะผสมผสานทุกอย่างเข้าด้วยกัน
- Olympic Lift Variation การยกน้ำหนักแบบซับซ้อน
- Advanced Flow Series การเคลื่อนไหวต่อเนื่องหลายท่า
- Balance Challenge การทรงตัวขั้นสูง
ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดที่ Real Gym
- สมาชิกวัยทำงาน
- อาการปวดเมื่อยลดลง
- ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ท่าทางดีขึ้น
- นักกีฬา
- เคลื่อนไหวคล่องแคล่วขึ้น
- บาดเจ็บน้อยลง
- ประสิทธิภาพการเล่นกีฬาดีขึ้น
Tips สุดท้ายจากผม "Functional Training ไม่ใช่แค่การออกกำลังกาย แต่เป็นการฝึกให้ร่างกายพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ในชีวิต" |
ดูสินค้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Functional Training ได้ที่นี่
10 ประโยชน์ของการออกกำลังกาย
1. สุขภาพหัวใจและหลอดเลือดแข็งแรง
ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีในฐานะเทรนเนอร์ที่ Real Gym ผมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งในเรื่องสุขภาพหัวใจของสมาชิก โดยเฉพาะในกลุ่มคนวัยทำงานที่มีความเสี่ยงสูง เมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีผู้บริหารระดับสูงท่านหนึ่งมาปรึกษาผมเรื่องความดันโลหิตสูง ตอนนั้นเขาทำงานหนักมาก พักผ่อนน้อย และแทบไม่มีเวลาออกกำลังกาย
ผมยังจำภาพตอนที่เขามาวัดความดันครั้งแรกที่ยิมได้ ตัวเลขขึ้นที่ 150/95 ซึ่งค่อนข้างน่าเป็นห่วง ผมจึงออกแบบโปรแกรมการออกกำลังกายให้เขาแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากการเดินเร็ววันละ 15 นาที ค่อยๆ เพิ่มเป็น 30 นาที และเพิ่มความเข้มข้นทีละนิด
ล่าสุดผมได้อ่านงานวิจัยจาก American Heart Association ที่ศึกษาเรื่องนี้มาเป็นเวลา 2 ปีเต็ม พวกเขาพบว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ถึง 45% ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ผมเห็นในยิม
การดูแลสุขภาพหัวใจไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปและสม่ำเสมอ ผมมักจะบอกสมาชิกว่า "หัวใจของคุณก็เหมือนกล้ามเนื้อ ยิ่งฝึกยิ่งแข็งแรง" สำหรับผู้บริหารท่านนั้น หลังจากทำตามโปรแกรมได้ 6 เดือน ความดันของเขาลดลงมาอยู่ที่ 125/85 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ปกติ
ที่สำคัญ เขายังบอกผมว่ารู้สึกมีพลังมากขึ้น ทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้น และที่น่าดีใจที่สุดคือ เขาสามารถวิ่งเล่นกับลูกๆ ได้โดยไม่เหนื่อยง่ายเหมือนก่อน นี่คือตัวอย่างที่ดีที่แสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายไม่ได้ช่วยแค่เรื่องสุขภาพ แต่ยังส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตโดยรวม
2. การควบคุมน้ำหนักที่ได้ผลจริง
เรื่องการควบคุมน้ำหนักนี่เป็นเรื่องที่ผมรู้สึกเห็นใจสมาชิกมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ที่ Real Gym ผมเจอสมาชิกมากมายที่ผ่านการลองทุกวิธีมาแล้ว ทั้งอดอาหาร ทั้งกินยาลดน้ำหนัก แต่สุดท้ายก็กลับมาที่น้ำหนักเดิม หรือบางคนหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ผมจำได้ดีตอนที่เริ่มเข้าสู่วงการเทรนเนอร์ใหม่ๆ ผมก็เคยคิดว่าการลดน้ำหนักคือแค่ "กินน้อยลง ออกกำลังกายให้มาก" แต่พอได้เรียน ACE Certification และได้ดูแลสมาชิกหลายร้อยคน ผมถึงเข้าใจว่ามันซับซ้อนกว่านั้นมาก
มีสมาชิกคนหนึ่งที่ยิมเป็นแม่บ้านวัย 45 ปี น้ำหนักเกินมา 20 กิโล เธอเล่าให้ผมฟังว่าลองมาทุกวิธีแล้ว ทั้งคีโต อินเทอร์มิตเทนต์ฟาสติ้ง ทำได้แค่ 2-3 เดือนก็ต้องล้มเลิก ผมจึงแนะนำให้เธอลองวิธีใหม่ นั่นคือการ "ปรับพฤติกรรมทีละนิด และออกกำลังกายอย่างมีความสุข"
เราเริ่มจากการปรับมื้ออาหารเล็กน้อย ไม่ต้องอดหรือตัดอะไรออกทั้งหมด แค่ลดปริมาณลงนิดหน่อย เพิ่มผักผลไม้เข้าไป ส่วนการออกกำลังกาย เราเริ่มจากสิ่งที่เธอชอบก่อน นั่นคือการเต้นแอโรบิก สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง พอร่างกายเริ่มแข็งแรงขึ้น เราค่อยๆ เพิ่มการฝึกเวทเบาๆ
ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้ผมประทับใจมาก ไม่ใช่แค่เรื่องน้ำหนักที่ค่อยๆ ลดลง แต่เธอมีความสุขกับการออกกำลังกาย ไม่รู้สึกว่าต้องฝืนใจทำ หลังผ่านไป 8 เดือน เธอลดน้ำหนักไปได้ 15 กิโล และที่สำคัญคือรักษาน้ำหนักได้ต่อเนื่อง
จากงานวิจัยล่าสุดในวารสาร Obesity Research ยังยืนยันสิ่งที่ผมเห็นมาตลอด นั่นคือการออกกำลังกายแบบผสมผสานระหว่างคาร์ดิโอกับเวทเทรนนิ่ง ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญได้ถึง 15% และที่สำคัญคือช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อระหว่างลดน้ำหนัก ทำให้ไม่เกิดปัญหาโยโย่เอฟเฟค
ผมมักจะบอกสมาชิกที่มาปรึกษาเรื่องลดน้ำหนักว่า "เป้าหมายของเราไม่ใช่แค่ตัวเลขบนเครื่องชั่ง แต่คือการมีสุขภาพที่ดีและมีความสุขกับการใช้ชีวิต" เพราะจากประสบการณ์ผม คนที่ประสบความสำเร็จในการควบคุมน้ำหนักคือคนที่มองว่าการออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่ภาระที่ต้องฝืนทำ
3. สุขภาพจิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ในฐานะโค้ชที่ดูแล Real Gym ผมต้องบอกว่าเรื่องที่น่าประทับใจที่สุดอย่างหนึ่งคือการเห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์และจิตใจของสมาชิก โดยเฉพาะในยุคที่คนเราเผชิญความเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีสมาชิกคนหนึ่งเป็นโปรแกรมเมอร์ที่ทำงานจากที่บ้าน เขามาเล่าให้ผมฟังว่ารู้สึกเครียดและวิตกกังวลมาก นอนไม่หลับ บางครั้งถึงขั้นมีอาการแพนิค ผมยังจำสีหน้าเหนื่อยล้าของเขาได้ดี
ผมเริ่มแนะนำให้เขาออกกำลังกายแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากการเดินบนลู่วิ่ง 20 นาที พร้อมฟังเพลงที่ชอบ จากนั้นค่อยๆ เพิ่มเป็นการวิ่งเบาๆ สลับกับการฝึกเวทเบื้องต้น ผมสังเกตว่าทุกครั้งที่เขาออกจากยิม สีหน้าจะดูสดชื่นขึ้น
หลังจากออกกำลังกายได้ประมาณ 1 เดือน เขาเล่าให้ผมฟังว่ารู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยความเครียด การนอนหลับดีขึ้น และที่สำคัญคือเริ่มมีพลังในการทำงานมากขึ้น ผมไม่แปลกใจเลยที่ได้ยินแบบนี้ เพราะจากงานวิจัยของ Journal of Clinical Psychology ปี 2023 พบว่าการออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการหลั่งสาร Endorphins และ Serotonin ซึ่งเป็น "ฮอร์โมนแห่งความสุข"
ที่น่าสนใจคือ ไม่ใช่แค่การออกกำลังกายหนักๆ เท่านั้นที่ช่วยได้ แม้แต่การยืดเหยียดกล้ามเนื้อเบาๆ หรือการฝึกโยคะก็ช่วยลดความเครียดได้ดี ผมเคยดูแลสมาชิกที่เป็นครูสอนพิเศษ เธอชอบมาทำโยคะตอนเช้าก่อนไปสอน บอกว่าช่วยให้จิตใจสงบและมีสมาธิในการสอนดีขึ้น
จากประสบการณ์ของผม สิ่งที่ทำให้การออกกำลังกายช่วยเรื่องสุขภาพจิตได้ดีมาก คือการที่มันให้ "เป้าหมายเล็กๆ" ที่เราสามารถทำสำเร็จได้ในแต่ละวัน เช่น วันนี้วิ่งได้ไกลขึ้น ยกน้ำหนักได้มากขึ้น หรือทำท่ายากๆ ได้สำเร็จ ความสำเร็จเล็กๆ เหล่านี้สร้างความมั่นใจและความภูมิใจ ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพจิตโดยตรง
"ผมมักจะบอกสมาชิกเสมอว่า การออกกำลังกายไม่ได้เป็นแค่การพัฒนาร่างกาย แต่เป็นการดูแลจิตใจไปพร้อมกัน บางครั้งแค่การได้ออกจากบ้านมายิม ได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ได้พูดคุย หัวเราะ ก็ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นแล้ว"
ที่สำคัญที่สุด ผมเชื่อว่าการออกกำลังกายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการจัดการความเครียดและสร้างสุขภาพจิตที่ดี ไม่ใช่ยาวิเศษที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ แต่เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการดูแลตัวเองทั้งกายและใจ
4. คุณภาพการนอนที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เรื่องการนอนนี่เป็นปัญหาใหญ่ของคนเมืองที่ผมเจอบ่อยมาก ผมเห็นความเชื่อมโยงชัดเจนระหว่างการออกกำลังกายกับคุณภาพการนอน
เมื่อไม่นานมานี้ มีผู้บริหารสาวท่านหนึ่งมาปรึกษาผม เธอนอนยากมาก บางคืนนอนแค่ 3-4 ชั่วโมง กลางวันก็ง่วง ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ลองกินยานอนหลับ แต่กลัวติด ผมจำได้ว่าวันแรกที่เธอมายิม ดวงตาดูอ่อนล้ามาก
ผมแนะนำให้เธอเริ่มออกกำลังกายตอนเช้า เพราะจากงานวิจัยของ Sleep Research Institute ปี 2023 พบว่าการออกกำลังกายช่วงเช้าช่วยปรับนาฬิกาชีวิตของร่างกายได้ดีที่สุด เราเริ่มจากคาร์ดิโอเบาๆ 30 นาที สลับกับการยกเวทเบื้องต้น
สิ่งที่น่าสนใจคือ หลังจากทำได้ประมาณ 2 สัปดาห์ เธอเริ่มสังเกตว่าตอนกลางคืนเริ่มง่วงเร็วขึ้น หลับลึกขึ้น และตื่นเช้ามาสดชื่นกว่าเดิม เธอเล่าให้ผมฟังว่า "มันเหมือนร่างกายเริ่มเข้าจังหวะที่ถูกต้อง"
จากประสบการณ์ของผม
การออกกำลังกายช่วยเรื่องการนอนได้หลายทาง
- ร่างกายเหนื่อยพอดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป
- ความเครียดลดลง จิตใจสงบขึ้น
- อุณหภูมิร่างกายเพิ่มขึ้นตอนออกกำลังกาย พอเย็นลงจะช่วยให้ง่วง
แต่มีข้อควรระวังที่ผมต้องเน้นย้ำกับสมาชิกเสมอ คือเรื่องเวลา ผมเคยดูแลนักธุรกิจท่านหนึ่งที่ชอบออกกำลังกายดึกๆ เพราะกลางวันไม่มีเวลา ปรากฏว่านอนไม่ค่อยหลับ พอผมแนะนำให้ปรับมาออกกำลังกายช่วงเย็นแทน ปัญหาการนอนก็ดีขึ้น
งานวิจัยจาก International Journal of Sleep Medicine ยังพบว่า การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยเพิ่มระยะเวลาการนอนหลับช่วง Deep Sleep ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายซ่อมแซมตัวเองได้ดีที่สุด นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอถึงรู้สึกสดชื่นกว่าเมื่อตื่นนอน
"ผมมักจะบอกสมาชิกที่มีปัญหาเรื่องนอนว่า การนอนหลับที่ดีไม่ได้วัดแค่จำนวนชั่วโมง แต่วัดที่คุณภาพการนอน และการออกกำลังกายที่เหมาะสมคือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การนอนที่มีคุณภาพ"
สำหรับใครที่กำลังมีปัญหาเรื่องนอน ผมแนะนำให้เริ่มจากการออกกำลังกายเบาๆ 20-30 นาทีต่อวัน ห่างจากเวลานอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง แล้วค่อยๆ ปรับเพิ่มความเข้มข้นตามที่ร่างกายรับได้ เชื่อผมเถอะ คุณจะรู้สึกถึงความแตกต่างภายในไม่กี่สัปดาห์
5. กระดูกและกล้ามเนื้อที่แข็งแรงสร้างได้ในทุกช่วงวัย
ใผมต้องบอกว่าเรื่องนี้สำคัญมาก โดยเฉพาะในยุคที่คนเราใช้ชีวิตนั่งๆ นอนๆ มากขึ้น ผมยังจำภาพแรกที่เห็นคุณลุงวัย 65 ปี ท่านหนึ่งเดินเข้ามาในยิมได้ เขาบ่นว่าปวดหลัง เข่าไม่ค่อยดี เดินขึ้นบันไดก็เหนื่อย
คุณลุงเล่าให้ผมฟังว่า ลูกๆ กลัวว่าพ่อจะหกล้ม เลยอยากให้มาออกกำลังกาย ตอนแรกผมเห็นท่าทางของคุณลุงแล้วก็กังวลเหมือนกัน แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมรู้ว่าไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้นดูแลกระดูกและกล้ามเนื้อ
เราเริ่มจากการประเมินความแข็งแรงพื้นฐาน แล้วออกแบบโปรแกรมที่เน้นการสร้างความมั่นคงให้กล้ามเนื้อแกนกลาง เพิ่มความแข็งแรงของขา และปรับปรุงการทรงตัว ผมใช้เทคนิคที่เรียกว่า "Progressive Loading" คือค่อยๆ เพิ่มแรงต้านทีละนิด
หลังจาก 3 เดือนแรก การเปลี่ยนแปลงที่เห็นทำให้ผมประทับใจมาก คุณลุงบอกว่าขึ้นบันไดได้คล่องขึ้น อาการปวดหลังดีขึ้น และที่สำคัญคือมั่นใจในการเคลื่อนไหวมากขึ้น เรื่องนี้สอดคล้องกับงานวิจัยจาก Bone Health Journal ที่ศึกษาในผู้สูงอายุ 1,500 คน พบว่าการออกกำลังกายแบบมีแรงต้านช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูกได้ 3-5% ภายใน 6 เดือน
แต่ไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุนะครับ ผมมีสมาชิกอีกคนเป็นพนักงานออฟฟิศวัย 35 ที่นั่งทำงานหน้าคอมฯ วันละ 8-10 ชั่วโมง มาหาผมด้วยอาการปวดคอ บ่า ไหล่ เราใช้การฝึกที่เน้นการแก้ไขท่าทาง (Posture Correction) ร่วมกับการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบๆ กระดูกสันหลัง
"สิ่งที่ผมพบจากการเป็นโค้ชคือ คนส่วนใหญ่มักจะรอให้มีปัญหาก่อนค่อยมาออกกำลังกาย แต่จริงๆ แล้ว เราควรออกกำลังกายเพื่อป้องกันปัญหาเหล่านั้นตั้งแต่แรก" ผมมักจะพูดประโยคนี้กับสมาชิกใหม่เสมอ
ที่น่าสนใจคือ งานวิจัยล่าสุดจาก Sports Medicine Institute ปี 2024 ยังพบว่า การออกกำลังกายแบบมีแรงต้านไม่เพียงช่วยเรื่องกระดูกและกล้ามเนื้อ แต่ยังช่วยกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่ช่วยในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดีขึ้น
ผมมักจะบอกสมาชิกว่า "กระดูกและกล้ามเนื้อของเราเหมือนบ้าน ถ้าเราไม่ดูแลรักษา มันก็จะทรุดโทรม แต่ถ้าเราหมั่นดูแล ซ่อมแซม และเสริมความแข็งแรง มันก็จะอยู่กับเราได้ยาวนาน"
6. ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากที่ผ่านช่วง โควิด-19 มา ผมได้เห็นความสำคัญของภูมิคุ้มกันชัดเจนมาก ตอนนั้นผมสังเกตว่าสมาชิกที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวเร็วกว่าเมื่อป่วย
ผมจำได้ดีตอนที่ยิมเพิ่งกลับมาเปิด มีสมาชิกกลุ่มหนึ่งที่ออกกำลังกายกับผมมาตลอด แม้ในช่วงล็อกดาวน์พวกเขาก็ยังเทรนผ่านออนไลน์ สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้บางคนจะติดเชื้อ แต่อาการไม่รุนแรงและฟื้นตัวได้เร็ว
จากงานวิจัยในวารสาร Immunology Review ปี 2023 ที่ศึกษาในกลุ่มคนวัยทำงาน 3,000 คน พบว่าการออกกำลังกายระดับปานกลางถึงหนักสัปดาห์ละ 150 นาที ช่วยเพิ่มการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันได้ถึง 50% และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อทางเดินหายใจได้ 30%
"มีสมาชิกท่านหนึ่งเป็นหมอ เขาเล่าให้ผมฟังว่า ช่วงที่เขาต้องดูแลผู้ป่วยโควิด การออกกำลังกายช่วยให้เขามีภูมิต้านทานที่ดี ทำงานหนักได้โดยไม่ป่วยง่าย" นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการออกกำลังกายไม่ได้แค่สร้างกล้ามเนื้อ แต่ยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกันด้วย
การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในหลายระดับ
- เพิ่มการไหลเวียนของเม็ดเลือดขาว
- กระตุ้นการผลิตสารต้านอนุมูลอิสระ
- ช่วยระบายของเสียออกจากร่างกายผ่านเหงื่อ
แต่สิ่งที่ผมต้องเน้นย้ำกับสมาชิกเสมอคือ "การออกกำลังกายต้องพอดี" มีสมาชิกคนหนึ่งที่ตั้งใจมาก ออกกำลังกายหนักทุกวัน ไม่ยอมพัก สุดท้ายกลับป่วยง่ายขึ้น พอผมแนะนำให้ปรับลดความหนักและเพิ่มวันพัก อาการก็ดีขึ้น
ผมมักจะแนะนำให้สมาชิกสังเกตสัญญาณจากร่างกาย
- ถ้ารู้สึกอ่อนเพลียผิดปกติ ควรพักก่อน
- ถ้ามีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อย ลดความหนักลง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ นอนหลับให้เพียงพอ
"การออกกำลังกายเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันไม่จำเป็นต้องหักโหม" ผมมักจะย้ำกับสมาชิกว่า "แค่ทำสม่ำเสมอ ระดับปานกลาง ร่างกายก็จะแข็งแรงขึ้นเอง"
ที่ Real Gym ผมมีโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อรักษา/เสริมภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะ เน้นการออกกำลังกายแบบผสมผสาน ทั้งคาร์ดิโอ เวทเทรนนิ่ง และการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ผลตอบรับดีมาก สมาชิกหลายคนบอกว่าไม่ค่อยป่วยง่ายเหมือนก่อน
7. พลังงานในชีวิตประจำวันที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่ง
ลูกค้าผมอีกท่าน เขาเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ แต่ทำอย่างต่อเนื่อง ผมสังเกตว่าหลังจากออกกำลังกายได้ประมาณ 1 เดือน เขาเริ่มมีพลังงานมากขึ้นชัดเจน
"ที่น่าสนใจคือ การออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องใช้เวลามาก" ผมมักจะบอกสมาชิกในยิมว่า 30 นาทีที่มีคุณภาพ ดีกว่า 2 ชั่วโมงที่ทำแบบขอไปที
ผมเห็นสมาชิกอีกคนเป็นครูสอนภาษา เธอต้องยืนสอนทั้งวัน เมื่อก่อนพอสอนถึงช่วงบ่าย จะรู้สึกหมดแรง แต่หลังจากมาออกกำลังกายได้ประมาณ 2 เดือน เธอบอกว่าสามารถสอนได้อย่างมีพลังจนจบวัน
จากประสบการณ์ดูแลสมาชิกมาหลายท่าน
ผมพบว่าการเพิ่มพลังงานผ่านการออกกำลังกายทำได้ดังนี้
- เริ่มเช้าวันด้วยการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ 5-10 นาที
- ทำคาร์ดิโอเบาๆ 15-20 นาที
- เสริมด้วยท่าบริหารกล้ามเนื้อพื้นฐาน
- เน้นการหายใจที่ถูกวิธี
ที่สำคัญคือ การเพิ่มพลังงานผ่านการออกกำลังกายเป็นวิธีที่ยั่งยืนกว่าการพึ่งคาเฟอีนหรือเครื่องดื่มชูกำลัง เพราะร่างกายของเราถูกออกแบบมาให้เคลื่อนไหว
การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในสมาชิกที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ตื่นเช้ามาสดชื่นขึ้น
- มีสมาธิในการทำงานดีขึ้น
- หลังเลิกงานยังมีพลังเหลือพอที่จะทำกิจกรรมอื่น
- การนอนหลับดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีพลังในวันถัดไป
"พลังงานที่เพิ่มขึ้นไม่ได้หมายถึงแค่ร่างกาย แต่รวมถึงจิตใจด้วย" นี่คือสิ่งที่ผมสังเกตเห็นจากสมาชิกที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พวกเขามักจะมีความกระตือรือร้น และมีความสุขในการใช้ชีวิตมากขึ้น
8. ความจำและสมาธิที่พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ในฐานะเทรนเนอร์ ผมสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจมากในเรื่องความจำและสมาธิของสมาชิกที่มาออกกำลังกาย โดยเฉพาะในกลุ่มคนทำงานที่ต้องใช้สมองหนัก
มีสมาชิกในยิมคนหนึ่งเป็นโปรแกรมเมอร์ เขาบ่นว่าช่วงหลังๆ สมาธิสั้นลง จำโค้ดยาก บางทีลืมแม้กระทั่งว่าเมื่อกี้กำลังทำอะไรอยู่ เขาเริ่มกังวลว่าอาจจะเป็นอัลไซเมอร์เร็วๆ นี้ ทั้งที่อายุแค่ 35
ผมแนะนำให้เขาลองมาออกกำลังกายตอนเช้าก่อนไปทำงาน เริ่มจากคาร์ดิโอเบาๆ 20 นาที สลับกับการยกน้ำหนักพื้นฐาน หลังจากทำได้ประมาณ 3 สัปดาห์ เขาสังเกตว่าตัวเองโฟกัสกับงานได้ดีขึ้น ความจำก็ดีขึ้นด้วย
เรื่องนี้สอดคล้องกับงานวิจัยจาก Neuroscience Journal ปี 2023 ที่พบว่า การออกกำลังกาย 30 นาทีต่อวัน ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปสู่สมองถึง 15% และยังกระตุ้นการสร้างเซลล์สมองใหม่ในส่วนที่เกี่ยวกับความจำและการเรียนรู้
ผมยังเห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในสมาชิกอีกคนที่เป็นนักศึกษาปริญญาโท เธอมาออกกำลังกายช่วงเย็นหลังเรียน แรกๆ กลัวว่าจะเหนื่อยเกินไป แต่กลับพบว่าวันไหนที่ได้ออกกำลังกาย ตอนกลับไปอ่านหนังสือต่อจะมีสมาธิดีกว่าวันที่ไม่ได้ออกกำลังกาย
จากการสังเกตสมาชิกในยิม
การออกกำลังกายช่วยเรื่องสมองได้หลายทาง
- ช่วยให้อ็อกซิเจนไปเลี้ยงสมองมากขึ้น
- ลดความเครียดที่มักรบกวนสมาธิ
- ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น ซึ่งส่งผลต่อความจำ
- กระตุ้นการหลั่งสารเคมีในสมองที่ช่วยเรื่องการเรียนรู้
ที่น่าสนใจคือ ผมเห็นว่าไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายหนักมากถึงจะได้ประโยชน์ต่อสมอง มีสมาชิกในยิมที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เขาเลือกเดินเร็วบนลู่วิ่ง 30 นาที พร้อมฟังพ็อดแคสต์ความรู้ไปด้วย บอกว่าช่วงไหนที่ได้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การสอนในห้องเรียนจะลื่นไหลกว่า จำเนื้อหาได้แม่นยำขึ้น
ผมได้อ่านงานวิจัยล่าสุดจาก Brain Research Institute ที่ศึกษาในกลุ่มคนทำงาน อายุ 25-45 ปี จำนวน 2,000 คน พบว่าคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอมีประสิทธิภาพในการทำงานที่ต้องใช้สมาธิสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ออกกำลังกายถึง 35%
จากสิ่งที่ผมเห็นในยิม
การฝึกเพื่อพัฒนาสมาธิและความจำที่ได้ผลดีมักจะประกอบด้วย
- การเริ่มต้นวันด้วยการเคลื่อนไหวแบบใช้สติ
- เดินเร็ว 10 นาที โฟกัสที่ลมหายใจ
- ยืดเหยียดร่างกายช้าๆ อย่างมีสติ
- การออกกำลังกายแบบใช้การประสานงาน
- ท่าบริหารที่ใช้แขนขาไม่เหมือนกัน
- การฝึกการทรงตัว
- การเคลื่อนไหวที่ต้องใช้สมาธิ
มีสมาชิกในยิมที่ทำงานด้านการเงิน เขาต้องจดจำตัวเลขเยอะมาก เมื่อก่อนชอบทำผิดพลาด แต่หลังจากมาออกกำลังกายช่วงเช้าก่อนไปทำงาน เขาบอกว่าความผิดพลาดลดลงมาก สมองปลอดโปร่งขึ้น
"สมองของเราก็เหมือนกล้ามเนื้อ" ผมมักจะบอกสมาชิกแบบนี้ "ยิ่งได้ออกกำลังกาย เลือดลมไหลเวียนดี ก็ยิ่งทำงานได้มีประสิทธิภาพ"
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผมได้เรียนรู้จากการดูแลสมาชิกคือ การออกกำลังกายเพื่อพัฒนาสมองไม่จำเป็นต้องซับซ้อน แค่ทำอย่างสม่ำเสมอ มีความสุขกับการเคลื่อนไหว และพักผ่อนให้เพียงพอ ผลลัพธ์ที่ดีก็จะตามมาเอง
9. การชะลอวัยที่เห็นผลจริง
จากประสบการณ์ที่ผมได้เห็นในยิม การชะลอวัยไม่ใช่แค่เรื่องของการมีหน้าตาอ่อนเยาว์ แต่เป็นเรื่องของการรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีไว้ยาวนาน
มีสมาชิกท่านหนึ่งอายุ 65 ปี เป็นที่น่าทึ่งมากสำหรับทุกคนในยิม แกเริ่มออกกำลังกายตั้งแต่อายุ 50 หลังจากที่หมอบอกว่ามีความเสี่ยงเรื่องกระดูกพรุน ตอนนี้แกสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้คล่องแคล่งกว่าคนอายุน้อยกว่าหลายคน
"ผมยังจำภาพที่แกเล่าให้ฟังได้ว่า หลานๆ แซวว่าคุณปู่ดูอ่อนกว่าอายุจริง 10 ปี แถมยังวิ่งเล่นกับหลานได้โดยไม่เหนื่อยง่าย"
งานวิจัยจาก Aging Research Institute ปี 2023 ที่ศึกษาในผู้สูงอายุ 1,500 คนพบว่า ผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอมี
- มวลกระดูกดีกว่าคนทั่วไปในวัยเดียวกัน
- การทรงตัวดีกว่า ลดความเสี่ยงการหกล้ม
- ความจำและการเรียนรู้ดีกว่า
ผมยังเห็นสมาชิกวัยทำงานคนหนึ่ง อายุ 45 เริ่มมาออกกำลังกายหลังจากรู้สึกว่าร่างกายเสื่อมเร็วกว่าที่ควร ปวดเมื่อยง่าย อ่อนล้า หลังจากออกกำลังกายได้ 6 เดือน เขาบอกว่ารู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไป 10 ปี ทั้งพลังงานและความกระฉับกระเฉง
การชะลอวัยที่ได้ผลจริงต้องทำแบบองค์รวม
- ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
- พัฒนาความยืดหยุ่น
- รักษาการทรงตัวที่ดี
- ดูแลระบบหัวใจและหลอดเลือด
เคยมีสมาชิกสาววัย 50 มาปรึกษาเรื่องปวดเข่า กลัวว่าจะเดินลำบากเหมือนแม่ หลังจากที่เราค่อยๆ ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา ตอนนี้เธอสามารถเดินช็อปปิ้งได้ทั้งวันโดยไม่ปวดเข่าเลย
" ความชราไม่ได้มาจากอายุที่มากขึ้นอย่างเดียว แต่มาจากการที่เราหยุดเคลื่อนไหวต่างหาก " นี่คือสิ่งที่ผมเห็นได้ชัดจากสมาชิกหลายคนในยิม
10. คุณภาพชีวิตโดยรวมที่ดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์
ข้อนี้เป็นสิ่งที่ผมเห็นชัดที่สุดในยิม มันไม่ใช่แค่เรื่องของรูปร่างหรือสุขภาพ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงของชีวิตในทุกด้าน
มีสมาชิกคนหนึ่งเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงลูกสองคน เธอเล่าให้ผมฟังว่าก่อนมาออกกำลังกาย ชีวิตเหมือนวนเวียนอยู่แค่ บ้าน-ที่ทำงาน-โรงเรียนลูก รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายใจ
แต่หลังจากเริ่มออกกำลังกายได้สักพัก เธอเล่าว่า "ตอนนี้มีพลังมากขึ้น สามารถทำกิจกรรมกับลูกได้มากขึ้น ไม่ใช่แค่นั่งดูลูกเล่น แต่เล่นด้วยกันได้จริงๆ ความสัมพันธ์ในครอบครัวดีขึ้นมาก"
จากงานวิจัยด้านคุณภาพชีวิตปี 2023 ที่ศึกษาคนทำงาน 3,000 คน พบว่าคนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอมี
- ความสุขในการทำงานมากขึ้น
- ความสัมพันธ์ในครอบครัวดีขึ้น
- การเข้าสังคมดีขึ้น
- ความมั่นใจในตัวเองสูงขึ้น
ผมเห็นสมาชิกอีกคนที่เป็นพนักงานบริษัท เขาเคยมีปัญหาความดัน น้ำหนักเกิน นอนไม่หลับ หลังจากออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่แค่สุขภาพที่ดีขึ้น แต่เขาบอกว่าได้เพื่อนใหม่จากการมายิม มีกลุ่มเพื่อนชวนไปวิ่งมาราธอนการกุศล ชีวิตมีสีสันมากขึ้น
"การออกกำลังกายไม่ได้เปลี่ยนแค่รูปร่างภายนอก แต่มันเปลี่ยนชีวิตคุณจากข้างในออกมาข้างนอก" นี่คือสิ่งที่ผมเห็นมาตลอด
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมักจะเป็นแบบลูกโซ่
- ร่างกายแข็งแรงขึ้น → มีพลังทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น
- นอนหลับดีขึ้น → อารมณ์ดีขึ้น → ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างดีขึ้น
- มีความมั่นใจมากขึ้น → กล้าทำสิ่งใหม่ๆ → ชีวิตมีความหมายมากขึ้น
สิ่งที่ผมภูมิใจที่สุดคือการได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของสมาชิก ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนเครื่องชั่ง แต่เป็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสุขที่เพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน
ทดสอบสมรรถภาพก่อนออกกำลังกายด้วยตัวเอง - แบบง่ายที่บ้าน
สวัสดีครับ โค้ชปูแน่นจะแนะนำการทดสอบสมรรถภาพแบบง่ายๆ ที่บ้าน พร้อมคำแนะนำการพัฒนาสำหรับแต่ละระดับ
1. ทดสอบอัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก
- นั่งพัก 5 นาที
- จับชีพจรที่ข้อมือ นับ 15 วินาที คูณ 4
- เกณฑ์
- ดีมาก: 60-70 ครั้ง/นาที
- ดี: 71-80 ครั้ง/นาที
- พอใช้: 81-90 ครั้ง/นาที
Tips จากโค้ช ถ้าชีพจรสูงเกิน 90 ลองปรับพฤติกรรมก่อนครับ
|
2. ทดสอบความแข็งแรงพื้นฐาน
Wall Sit Test
- ยืนพิงกำแพง ย่อตัวเหมือนนั่งเก้าอี้
- เกณฑ์
- ดีมาก: 60+ วินาที
- ดี: 45-59 วินาที
- พอใช้: 30-44 วินาที
คำแนะนำการพัฒนา
- ถ้าทำได้น้อยกว่า 30 วินาที
- เริ่มจากการยืนพิงกำแพง 15 วินาที พัก 30 วินาที ทำ 5 รอบ
- ทำทุกวันหลังตื่นนอน
- เพิ่มเวลาครั้งละ 5 วินาทีทุกสัปดาห์
- ถ้าทำได้ 30-45 วินาที
- ลองเพิ่มการย่อตัวขึ้น-ลงช้าๆ 10 ครั้ง
- ทำ 3 เซต วันเว้นวัน
3. ทดสอบการทรงตัว
ยืนขาเดียว
- ทำทั้งสองข้าง
- เกณฑ์
- ดี: 15+ วินาที
- พอใช้: 10-14 วินาที
- ต้องปรับปรุง: <10 วินาที
ธีพัฒนาการทรงตัว
- สำหรับผู้เริ่มต้น
- ยืนขาเดียวใกล้ผนัง
- เริ่มจาก 5 วินาที ทำข้างละ 5 ครั้ง
- ฝึกตอนแปรงฟันเช้า-เย็น
- สำหรับระดับกลาง
- ลองหลับตาขณะยืน
- เพิ่มการเคลื่อนไหวแขน
- ยืนบนพื้นผิวนุ่มๆ เช่น เบาะโยคะ
4. ทดสอบความยืดหยุ่น
นั่งเอื้อมแตะปลายเท้า
- เกณฑ์
- ดี: เลยปลายเท้า
- พอใช้: แตะปลายเท้าพอดี
- ต้องปรับปรุง: ไม่ถึงปลายเท้า
เทคนิคเพิ่มความยืดหยุ่น
- ฝึกทุกเช้า-เย็น ครั้งละ 30 วินาที
- หายใจเข้าลึกๆ ขณะยืด
- ห้ามกระตุก หรือยืดจนเจ็บ
- เพิ่มการยืดข้างลำตัว และหลัง
คำแนะนำสำคัญ
- ทดสอบตอนร่างกายสดชื่น ไม่เพิ่งกินอาหาร
- อบอุ่นร่างกาย 5-10 นาทีก่อนทดสอบ
- หยุดทันทีถ้ารู้สึกไม่สบาย
- บันทึกผลไว้เปรียบเทียบทุก 4 สัปดาห์
ควรออกกำลังกายอาทิตย์ละกี่วันและตารางการออกกำลังกาย - คำแนะนำจากประสบการณ์จริง
ผมต้องบอกว่าการจัดความถี่ในการออกกำลังกายที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จ งานวิจัยจาก Exercise Science Institute ปี 2023 ได้ศึกษาในคนทำงานวัย 25-45 ปี จำนวน 2,000 คน เป็นเวลา 12 เดือน พบข้อมูลที่น่าสนใจมาก ผมจะแบ่งปันพร้อมประสบการณ์จริงที่เห็นในยิม
1.สำหรับผู้เริ่มต้น (0-3 เดือนแรก)
ความถี่ที่เหมาะสม 2-3 วันต่อสัปดาห์
ผมเห็นสมาชิกในยิมหลายคนที่เริ่มต้นแล้วประสบความสำเร็จ มักจะเริ่มแบบนี้
- วันจันทร์: เน้นการเรียนรู้ท่าพื้นฐาน 45 นาที
- วันพุธ: คาร์ดิโอเบาๆ 30 นาที
- วันศุกร์: ผสมผสานทั้งสองแบบ
Tips จากประสบการณ์ "ผมเคยดูแลสมาชิกที่เป็นพนักงานออฟฟิศ เขาเริ่มจาก 2 วันต่อสัปดาห์ แต่ทำอย่างสม่ำเสมอ หลัง 3 เดือน เขาสามารถเพิ่มเป็น 4 วันได้อย่างสบาย" |
2.ตารางสำหรับผู้เริ่มต้น (2-3 เดือนแรก)
2.1 วันจันทร์ เริ่มต้นสัปดาห์เบาๆ
- วอร์มอัพ 10 นาที (เดินเร็ว)
- ฝึกท่าพื้นฐาน
- สควอท 2 เซต x 10 ครั้ง
- วอล์คซิท 2 เซต x 10 ครั้ง
- พุชอัพที่ผนัง 2 เซต x 10 ครั้ง
- คูลดาวน์ 5 นาที
2.2 วันพุธ วันคาร์ดิโอ
- เดินเร็ว 20 นาที
- ยืดกล้ามเนื้อ 10 นาที
2.3 วันศุกร์ วันรวม
- คาร์ดิโอ 15 นาที
- ท่าพื้นฐานเหมือนวันจันทร์
Tips จากโค้ช "ผมเห็นสมาชิกหลายคนที่ประสบความสำเร็จ เพราะเริ่มจากพื้นฐานและค่อยๆ เพิ่มความหนัก ดีกว่าการรีบเร่งจนต้องหยุดพัก" |
3.สำหรับผู้ที่ต้องการสุขภาพดี
ความถี่ที่เหมาะสม 3-4 วันต่อสัปดาห์
จากงานวิจัยพบว่า นี่คือความถี่ที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุดสำหรับคนทำงาน โดยแบ่งดังนี้
3.1 วันจันทร์ วันฝึกแบบผสมผสาน
- 20 นาที คาร์ดิโอระดับปานกลาง
- 20 นาที เวทเทรนนิ่งพื้นฐาน
- 10 นาที ยืดกล้ามเนื้อ
3.2 วันพุธ วันเน้นความแข็งแรง
- 40 นาที เวทเทรนนิ่ง
- 10 นาที คูลดาวน์
3.3 วันศุกร์ วันคาร์ดิโอ
- 30-45 นาที คาร์ดิโอแบบ HIIT
- 15 นาที ยืดกล้ามเนื้อ
3.4 วันอาทิตย์ วันฟื้นฟู
- โยคะเบาๆ
- ยืดกล้ามเนื้อ
- เดินเล่นพักผ่อน
4.ตารางสำหรับระดับกลาง (ออกกำลังกายมา 3-6 เดือน)
4.1 จันทร์ วันเวทเทรนนิ่ง
- ช่วงบน อก ไหล่ หลัง
- 3 เซตต่อท่า
- พักระหว่างเซต 60 วินาที
4.2 อังคาร วันคาร์ดิโอ
- HIIT 20 นาที
- ยืดกล้ามเนื้อ
4.3 พฤหัส วันเวทเทรนนิ่ง
- ช่วงล่าง ขา สะโพก คอร์
- 3 เซตต่อท่า
- พักระหว่างเซต 60 วินาที
4.4 เสาร์ วันแบบผสม
- คาร์ดิโอ 20 นาที
- ท่าบอดี้เวท
- ยืดกล้ามเนื้อ
Tips สำคัญ
" การมีตารางชัดเจนช่วยสร้างวินัย แต่ต้องยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์" นี่คือสิ่งที่ผมเน้นย้ำกับสมาชิกเสมอ " |
5.สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก
ความถี่ที่เหมาะสม 4-5 วันต่อสัปดาห์
จากงานวิจัยพบว่า การออกกำลังกาย 4-5 วันต่อสัปดาห์ ช่วยเผาผลาญไขมันได้มากกว่าการออกกำลังกาย 2-3 วันถึง 40% แต่ต้องระวังเรื่องการพักฟื้น
ตารางแนะนำ
5.1 วันจันทร์ วันคาร์ดิโอแบบ HIIT
- 10 นาที วอร์มอัพ
- 20 นาที HIIT (30 วินาทีเข้ม / 30 วินาทีเบา)
- 10 นาที คูลดาวน์
5.2 วันอังคาร วันเวทเทรนนิ่ง
- เน้นท่าที่ใช้กล้ามเนื้อหลายมัด
- 3-4 เซตต่อท่า
- พักระหว่างเซต 30-45 วินาที
Tips จากโค้ช: "การพักระหว่างเซตสั้นๆ ช่วยเผาผลาญไขมันได้ดีกว่า" |
5.3 วันพุธ วันคาร์ดิโอแบบต่อเนื่อง
- 45 นาที คาร์ดิโอระดับปานกลาง
- เช่น เดินเร็ว จักรยาน ว่ายน้ำ
5.4 วันพฤหัส วันเวทแบบเซอร์กิต
- ทำ 6-8 สถานีต่อเนื่องกัน
- 3 รอบ
- พักระหว่างรอบ 2 นาที
5.5 วันเสาร์ วันคาร์ดิโอเบาๆ + ยืดกล้ามเนื้อ
- 30 นาที คาร์ดิโอเบาๆ
- 20 นาที โยคะหรือยืดกล้ามเนื้อ
6.สำหรับนักกีฬาหรือผู้ที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ
ความถี่ที่เหมาะสม 5-6 วันต่อสัปดาห์
จากประสบการณ์การแข่งขัน ผมพบว่าการฝึกแบบแบ่งกลุ่มกล้ามเนื้อให้ผลดีที่สุด
วันจันทร์: อก-ไหล่-ไตรเซ็ปส์
วันอังคาร์: หลัง-ไบเซ็ปส์
วันพุธ: ขา
วันพฤหัส: อก-ไหล่-ไตรเซ็ปส์
วันศุกร์: หลัง-ไบเซ็ปส์
วันเสาร์: ขา
Tips สำคัญสำหรับทุกระดับ
"การออกกำลังกายที่ดีไม่ได้วัดที่ความถี่อย่างเดียว แต่วัดที่คุณภาพของการฝึกในแต่ละครั้งด้วย" นี่คือสิ่งที่ผมย้ำกับสมาชิกในยิมเสมอ |
ตารางการออกกำลังกายต่อสัปดาห์
จากประสบการณ์การดูแลสมาชิกในยิม ผมพบว่าการมีตารางที่ชัดเจนช่วยให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพและต่อเนื่องมากขึ้น ผมจะแบ่งตารางตามระดับและเป้าหมาย
ข้อควรคำนึง
1.การปรับตารางตามตัวแปร
-
- ช่วงมีประจำเดือน (สำหรับผู้หญิง)
- ช่วงงานยุ่ง
- อาการบาดเจ็บ
- คุณภาพการนอน
2.การวัดผล
-
- ชั่งน้ำหนักทุกสัปดาห์
- วัดรอบเอวทุก 2 สัปดาห์
- ถ่ายรูปความก้าวหน้าทุกเดือน
- จดบันทึกน้ำหนักและจำนวนครั้ง
3.อาหารและการพักผ่อน
-
- ทานโปรตีนเพียงพอ
- นอน 7-8 ชั่วโมง
- ดื่มน้ำ 2-3 ลิตร/วัน
ออกกำลังกายอย่างไรให้เหมาะสม
จากประสบการณ์การดูแลสมาชิกในยิม ผมพบว่าการออกกำลังกายที่เหมาะสมต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่ทำตามคนอื่น หรือทำตามคลิปในโซเชียล
1. เริ่มต้นจากการประเมินตัวเอง
ก่อนเริ่มออกกำลังกาย ควรถามตัวเองดังนี้
- สภาพร่างกายปัจจุบันเป็นอย่างไร
- มีโรคประจำตัวหรือไม่
- เป้าหมายคืออะไร
- มีเวลาให้กับการออกกำลังกายเท่าไร
Tips จากโค้ช " ผมเห็นหลายคนในยิมที่เริ่มต้นผิดวิธี เพราะไม่ได้ประเมินตัวเองก่อน บางคนหักโหมเกินไป บางคนเลือกวิธีที่ไม่เหมาะกับตัวเอง " |
2. เลือกการออกกำลังกายให้เหมาะกับวัย
2.1 วัย 20-30 ปี
- ร่างกายแข็งแรง ฟื้นตัวเร็ว
- สามารถทำได้หลากหลาย
- เน้นสร้างพื้นฐานที่ดี
2.2 วัย 30-40 ปี
- เริ่มต้องระวังข้อต่อ
- ควรผสมผสานการออกกำลังกาย
- เพิ่มการยืดเหยียด
2.3 วัย 40-50 ปี
- เน้นการรักษาสมดุล
- ระวังเรื่องข้อเข่า หลัง
- เพิ่มการบริหารกล้ามเนื้อแกนกลาง
3. การออกกำลังกายตามเป้าหมาย
3.1 เพื่อสุขภาพทั่วไป
- คาร์ดิโอระดับปานกลาง 30 นาที
- ฝึกความแข็งแรง 2-3 ครั้ง/สัปดาห์
- ยืดเหยียดทุกวัน
3.2 เพื่อลดน้ำหนัก
- HIIT 20-30 นาที
- เวทเทรนนิ่งเน้นเผาผลาญ
- คาร์ดิโอสลับความเข้มข้น
3.3 เพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อ
- เวทเทรนนิ่ง 4-5 ครั้ง/สัปดาห์
- แบ่งกลุ่มกล้ามเนื้อ
- คาร์ดิโอแค่พอประมาณ
เคล็ดลับสำคัญ " ไม่ว่าจะมีเป้าหมายอะไร การทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปคือกุญแจสำคัญ " |
ข้อควรระวังหากออกกำลังกายมากเกินไป
การออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพที่ดี แต่ถ้าเราออกกำลังกายหนักจนเกินไป ก็อาจเกิดผลเสียกับร่างกายได้หลายประการ เช่น
1.อาการบาดเจ็บจากการใช้งานมากเกินไป (Overuse injuries)
การออกกำลังกายซ้ำๆ เดิมๆ หรือเพิ่มความหนักและความถี่แบบก้าวกระโดด เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ เอ็น และข้อต่อ ยกตัวอย่างเช่น อาการปวดหัวเข่าในนักวิ่ง, เอ็นร้อยหวายอักเสบในนักเทนนิส หรือปวดหลังในคนที่ยกน้ำหนัก สาเหตุเพราะเนื้อเยื่อพวกนี้ไม่มีเวลาพักฟื้น ก็เลยอ่อนล้า ฉีกขาด หรืออักเสบได้ง่าย
2.ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
การออกกำลังกายหนักๆ ทำให้ร่างกายหลั่งสารคอร์ติซอลออกมามาก สารชนิดนี้มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน ทำให้เราป่วยง่ายขึ้น โดยเฉพาะโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ
3.ฮอร์โมนเพศผิดปกติ
โดยเฉพาะในนักกีฬาหญิง ถ้าออกกำลังกายหนักมากจนไขมันในร่างกายต่ำเกินไป ก็จะทำให้การผลิตฮอร์โมนเพศหญิงผิดปกติได้ ส่งผลให้ประจำเดือนมาไม่ปกติหรือขาดหายไป กระทบต่อระบบสืบพันธุ์และความสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย บางคนอาจกระดูกพรุนได้ง่ายขึ้นด้วย
4.ความไม่สมดุลของน้ำและเกลือแร่
การออกกำลังกายทำให้เราเสียเหงื่อมาก ซึ่งเหงื่อมีส่วนผสมของน้ำ โซเดียม และเกลือแร่อื่นๆ ถ้าเราดื่มน้ำทดแทนมากเกินไป แต่ไม่ได้เติมเกลือ ก็อาจทำให้ระดับโซเดียมในเลือดต่ำกว่าปกติ (hyponatremia) จนรู้สึกมึนงง เป็นลม ชัก หรือเสียชีวิตได้ในรายที่รุนแรง
5.อาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง (Chronic fatigue)
คนที่ออกกำลังกายอย่างหักโหมเป็นประจำ โดยไม่พักผ่อนให้เพียงพอ ก็มักจะเกิดอาการอ่อนเพลียสะสม ไม่ค่อยสดชื่น เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ หรือมีอารมณ์ฉุนเฉียวง่าย ผลการแข่งขันหรือสมรรถภาพร่างกายก็มักจะแย่ลงด้วย
6.ภาวะกล้ามเนื้อสลายตัว (Rhabdomyolysis)3
ในกรณีที่ออกกำลังกายหนักมากๆ จนกล้ามเนื้อได้รับความเสียหายรุนแรง เซลล์กล้ามเนื้อแตกสลายปล่อยสารไมโอโกลบินออกมา สารนี้เป็นพิษต่อไต ถ้าได้รับการรักษาไม่ทันก็อาจทำให้ไตวายได้
สรุป
นี่คือผลเสียบางส่วนครับ โดยสรุปแล้ว การออกกำลังกายที่เหมาะสมและสม่ำเสมอจะเป็นผลดีต่อสุขภาพ แต่พอมากเกินพอดีก็กลายเป็นโทษได้ เราจึงต้องรู้จักประมาณตน และรับฟังสัญญาณของร่างกายตัวเองด้วย ถ้ามีอาการผิดปกติอย่างที่ว่ามา ก็ควรปรับลดการออกกำลังกายลง หรือหยุดพักรักษาตัวสักระยะ จะดีที่สุดครับ
บทความนี้เขียนโดย...
โค้ชปูแน่น (ปู จักรินทร์ บุญลาภ)
เป็น CEO และที่ปรึกษาด้านการพัฒนาทีมเทรนเนอร์ในฟิตเนสของตัวเองที่ Real Gym ซาฟารีเวิลด์ รวมถึงแบรนด์อาหารเสริม และที่ปรึกษาด้าน Training Quality ให้กับทีมเทรนเนอร์ของ Sport club และฟิตเนสชั้นนำ
โปรไฟล์โค้ชปูแน่น
บทความทั้งหมด
Powered by Mirasvit Magento 2 Extensions
- เพิ่มไขมันดี (HDL) เพื่อสุขภาพหัวใจที่แข็งแรง เทคนิคและ 20 อาหารที่แนะนำ
- คาร์โบไฮเดรต พลังงานสำคัญสำหรับนักออกกำลังกาย และนักกล้าม
- 15 ประโยชน์ของการวิ่ง ลงทุนสุขภาพง่ายๆ ด้วยการวิ่ง
- อาหารหลังออกกำลังกาย ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ เสริมพลัง สร้างผลลัพธ์ที่ดี
- เคล็ดลับออกกำลังกายช่วงมีประจำเดือน - ฟิต หุ่นสวย คลายปวด ด้วยวิธีง่ายๆ