เครื่องออกกำลังกาย อุปกรณ์ออกกําลังกาย อุปกรณ์ฟิตเนส
view-th view-en
ตะกร้า 0 ตะกร้าสินค้า

การวัด เปอร์เซ็นต์ไขมัน ไขมันในร่างกาย ความสำคัญ เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ลดมวลไขมัน

การวัด เปอร์เซ็นต์ไขมัน ไขมันในร่างกาย ความสำคัญ เพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ลดมวลไขมัน

ไขมันในร่างกายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีผลต่อสุขภาพและรูปร่างของเรา การทำความเข้าใจเกี่ยวกับปริมาณและการกระจายตัวของไขมันจะช่วยให้เราสามารถวางแผนการออกกำลังกายและควบคุมอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะอธิบายถึงความสำคัญของการวัด เปอร์เซ็นต์ไขมัน วิธีการวัด และแนวทางในการจัดการมวลไขมันเพื่อสุขภาพที่ดี

ไขมันในร่างกายคืออะไร?

ไขมันในร่างกายหมายถึงมวลของไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวทั้งหมด ไขมันมีบทบาทสำคัญในการทำงานของร่างกาย เช่น การเก็บพลังงาน การปกป้องอวัยวะภายใน และการควบคุมอุณหภูมิ อย่างไรก็ตาม การมีไขมันมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ

ความสำคัญของการวัดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย

การวัดเปอร์เซ็นต์ไขมันช่วยให้เราเข้าใจองค์ประกอบของร่างกายได้ดีกว่าการชั่งน้ำหนักเพียงอย่างเดียว เนื่องจากน้ำหนักตัวไม่ได้บอกถึงสัดส่วนของกล้ามเนื้อและไขมัน การรู้เปอร์เซ็นต์ไขมันจะช่วยในการวางแผนโภชนาการและการออกกำลังกายได้อย่างเหมาะสม

วิธีการวัดไขมันในร่างกาย

การวัดไขมันสามารถทำได้หลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกัน:

  • การวัดด้วยคาลิเปอร์ วิธีนี้ใช้เครื่องมือวัดความหนาของผิวหนังบริเวณต่างๆ
  • การชั่งน้ำหนักใต้น้ำ เป็นวิธีที่แม่นยำแต่ทำได้ยากในชีวิตประจำวัน
  • เครื่องวัดองค์ประกอบร่างกาย (BIA) ใช้กระแสไฟฟ้าอ่อนๆ วัดความต้านทานของร่างกาย
  • DEXA Scan ใช้รังสีเอกซ์พลังงานต่ำในการวัด เป็นวิธีที่แม่นยำที่สุด

วิธีคำนวณ เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย ง่ายๆ

การคำนวณเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายสามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยใช้สูตรคำนวณเบื้องต้นที่พิจารณาจากค่าพื้นฐาน เช่น ค่า BMI อายุ และเพศ วิธีนี้อาจไม่แม่นยำเท่าการตรวจร่างกายทางการแพทย์ แต่สามารถให้ผลคร่าว ๆ ได้ดังนี้

วิธีการคำนวณเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย

คำนวณค่า BMI (Body Mass Index): สูตรคือ...

[น้ำหนักตัว ÷ ส่วนสูง(เมตร)] = ดัชนีมวลกาย

 

ใช้สูตรคำนวณเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย ผู้ชาย

เปอร์เซ็นต์ไขมัน=(1.20×BMI)+(0.23×อายุ)16.2

 

ใช้สูตรคำนวณเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย ผู้หญิง

เปอร์เซ็นต์ไขมัน=(1.20×BMI)+(0.23×อายุ)5.4

 

ตัวอย่างเช่น : อายุ 30 ปี / ส่วนสูง 1.75 เมตร / อายุ 30 ปี

คำนวณค่า BMI: 70 ÷ (1.75×1.75) = 22.86

สำหรับผู้ชายเปอร์เซ็นต์ไขมัน = (1.20×22.86)+(0.23×30)16.2 = 21.43%

สำหรับผู้หญิงเปอร์เซ็นต์ไขมัน = (1.20×22.86)+(0.23×30)5.4 = 32.23%

การคำนวณนี้จะให้ผลลัพธ์คร่าว ๆ ซึ่งสามารถใช้ในการตรวจสอบสุขภาพเบื้องต้นได้ แต่ควรทำการตรวจอย่างละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญในภายหลังเพื่อความแม่นยำ

เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายที่เหมาะสม

ไขมันในร่างกายไม่ควรเกินระดับที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ โดยทั่วไปแล้ว:

  • เปอร์เซ็นต์ไขมันผู้ชาย ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 10-20%
  • เปอร์เซ็นต์ไขมันผู้หญิง ที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 18-28%

อย่างไรก็ตาม ค่าที่เหมาะสมอาจแตกต่างกันตามอายุ และระดับกิจกรรมทางกาย

เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายที่เหมาะสม

การลดไขมันในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ

การลดไขมัน เปอร์เซ็นต์ไขมัน ต้องอาศัยการจัดการทั้งด้านอาหารและการออกกำลังกาย:

  • ควบคุมแคลอรี รับประทานอาหารให้น้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายใช้
  • เน้นโปรตีน ช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อระหว่างลดน้ำหนัก
  • ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เพิ่มการเผาผลาญและเบิร์นแคลอรี
  • ฝึกเวทเทรนนิ่ง สร้างกล้ามเนื้อซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมัน

การเพิ่มมวลกล้ามเนื้อควบคู่กับการลดมวลไขมัน

การสร้างกล้ามเนื้อไปพร้อมกับการลดเปอร์เซ็นต์ไขมันเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย แต่สามารถทำได้โดย

  • รับประทานโปรตีนเพียงพอ 1.6-2.2 กรัมต่อกิโลกรัมของน้ำหนักตัว
  • ฝึกเวทเทรนนิ่งอย่างสม่ำเสมอ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์
  • พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนหลับช่วยในการฟื้นฟูกล้ามเนื้อ
  • ทานอาหารแบบ calorie cycling สลับวันที่ทานแคลอรี่สูงและต่ำ

การออกกำลังกายเพื่อลดไขมันในร่างกาย

การออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพในการ ลดไขมัน หรือ เปอร์เซ็นต์ไขมัน ควรผสมผสานระหว่างการฝึกแบบคาร์ดิโอและการฝึกเวทเทรนนิ่ง โดยแต่ละวิธีมีข้อดีและวิธีการปฏิบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้

การออกกำลังกายเพื่อลดไขมันในร่างกาย

1. การฝึกแบบ HIIT (High-Intensity Interval Training)

HIIT เป็นการออกกำลังกายที่สลับระหว่างช่วงความเข้มข้นสูงและช่วงพัก ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญแม้หลังการออกกำลังกาย

  • ระยะเวลา ทำ 20-30 นาที 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
  • วิธีการ สลับระหว่างการออกแรงเต็มที่ 30 วินาที และพัก 30-60 วินาที
  • ตัวอย่างท่า วิ่งเร็ว, กระโดดเชือก, เบอร์พี, หรือปั่นจักรยานความเร็วสูง
  • ประโยชน์ เพิ่มการเผาผลาญไขมันและคงอยู่ต่อเนื่องหลังออกกำลังกาย (Afterburn Effect)

2. การออกกำลังกายแบบแอโรบิค

การออกกำลังกายแบบแอโรบิค เช่น การวิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน ช่วยเบิร์นแคลอรี่ได้ดีและเพิ่มสมรรถภาพหัวใจและปอด

  • ระยะเวลา 30-60 นาที 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์
  • ความเข้มข้น ปานกลางถึงสูง (60-80% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด)
  • วิธีการ เริ่มต้นด้วยความเข้มข้นต่ำและค่อยๆ เพิ่มขึ้น
  • ประโยชน์ เผาผลาญแคลอรี่สูง เพิ่มความทนทานของระบบหัวใจและหลอดเลือด

3. การยกน้ำหนัก (Weight Training)

การฝึกเวทเทรนนิ่งช่วยสร้างกล้ามเนื้อซึ่งเพิ่มอัตราการเผาผลาญพื้นฐาน ทำให้เผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้นแม้ในยามพัก:

  • ความถี่ 2-4 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยให้กล้ามเนื้อได้พักอย่างน้อย 48 ชั่วโมงระหว่างการฝึกแต่ละครั้ง
  • ท่าฝึก เน้นท่า Compound Exercises เช่น สควอท, เดดลิฟท์, เบนช์เพรส, โอเวอร์เฮดเพรส
  • เซตและเรพ 3-4 เซต, 8-12 ครั้งต่อเซต สำหรับการสร้างกล้ามเนื้อและเผาผลาญไขมัน
  • เทคนิคใช้หลัก Progressive Overload โดยค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักหรือจำนวนครั้งเมื่อร่างกายปรับตัวได้

4. การฝึกแบบ Functional Training

Functional Training เน้นการเคลื่อนไหวที่เลียนแบบกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ช่วยเผาผลาญไขมันและเพิ่มความแข็งแรงโดยรวม:

  • รูปแบบ การฝึกด้วยน้ำหนักตัว, การใช้อุปกรณ์เช่น เคตเทิลเบล, เมดิซินบอล
  • ตัวอย่างท่า Burpees, Mountain Climbers, Turkish Get-Ups, Kettlebell Swings
  • ประโยชน์ เพิ่มความแข็งแรง, ความยืดหยุ่น, และการทรงตัว พร้อมกับเผาผลาญไขมัน
  • การฝึกสามารถทำเป็น Circuit Training โดยทำหลายท่าต่อเนื่องกันโดยพักน้อยระหว่างท่า

5. การผสมผสานรูปแบบการออกกำลังกาย

การผสมผสานรูปแบบการออกกำลังกายต่างๆ จะช่วยให้การลดไขมันในร่างกายมีประสิทธิภาพสูงสุด:

  • จัดตารางสัปดาห์: เช่น วันจันทร์ (เวทเทรนนิ่ง), วันอังคาร (HIIT), วันพุธ (แอโรบิก), วันพฤหัสบดี (Functional Training), วันศุกร์ (เวทเทรนนิ่ง)
  • ปรับความหนัก-เบา: สลับวันที่ออกกำลังกายหนักและเบาเพื่อให้ร่างกายได้พักฟื้น
  • ติดตามผล: บันทึกการออกกำลังกายและวัดผลการเปลี่ยนแปลงของเปอร์เซ็นต์ไขมันอย่างสม่ำเสมอ

6. ข้อควรระวังและคำแนะนำเพิ่มเติม

  • อบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกายทุกครั้งเพื่อลดความเสี่ยงการบาดเจ็บ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอระหว่างและหลังการออกกำลังกาย
  • รับประทานอาหารที่มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตคุณภาพดีหลังออกกำลังกายเพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อ
  • ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มโปรแกรมออกกำลังกายใหม่ โดยเฉพาะถ้ามีโรคประจำตัว

สรุป

การออกกำลังกายเพื่อลดไขมันในร่างกายที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยความสม่ำเสมอและความหลากหลาย การผสมผสานรูปแบบการออกกำลังกายต่างๆ จะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ สร้างกล้ามเนื้อ และลดไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการพักผ่อนที่เพียงพอ

การวัดและจัดการไขมันในร่างกายเป็นส่วนสำคัญของการดูแลสุขภาพและรูปร่าง การเข้าใจเปอร์เซ็นต์ไขมันของตนเองและวิธีการจัดการอย่างเหมาะสมจะนำไปสู่การมีสุขภาพที่ดีและรูปร่างที่สมส่วน ไม่ว่าจะเป็นการลดไขมันหรือการเพิ่มเสริมสร้างกล้ามเนื้อ การใส่ใจในเรื่องนี้จะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตโดยรวม